ประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว
-------------------------------------
Privacy Notice

บริษัท วีอาร์คอนซัลแตนท์แอนด์เซอร์วิส จำกัด (ต่อไปนี้จะเรียกว่า “บริษัท”) ตระหนักและให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้ที่เกี่ยวข้องหรือทำธุรกรรมกับบริษัท ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง ผู้ถือหุ้น ลูกค้า คู่ค้า พนักงาน บุคลากร ตัวแทน และบุคคลใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการของบริษัท (รวมเรียกว่า “ท่าน”) บริษัทจึงได้จัดทำคำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว (“ประกาศ”) ฉบับนี้ขึ้น เพื่อให้ท่านในฐานะผู้เกี่ยวข้องหรือทำธุรกรรมกับบริษัท ได้ทราบรายละเอียดของวัตถุประสงค์และรูปแบบของการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผย (รวมเรียกว่า “การประมวลผล”) ข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งสิทธิต่าง ๆ ของท่านภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

ทั้งนี้ การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามวัตถุประสงค์ในประกาศนี้ บริษัทดำเนินการในฐานะผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller) ซึ่งหมายความว่า บริษัทเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ตัดสินใจเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมจากท่าน

1. คำนิยาม

“กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง และให้หมายความรวมถึงกฎหมายฉบับแก้ไขเพิ่มเติมใด ๆ ในอนาคต

“เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง บุคคลธรรมดาซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งบริษัทได้มีการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง ผู้ถือหุ้น ลูกค้า พนักงาน บุคลากร ตัวแทน และบุคคลใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการของบริษัท

“ข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงข้อมูลผู้ถึงแก่กรรมโดยเฉพาะ

2. ฐานกฎหมายในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านภายใต้ฐาน ดังต่อไปนี้

ฐานกฎหมายในการเก็บรวบรวมข้อมูลรายละเอียด
ความจำเป็นในการปฏิบัติตามสัญญา (Contract)

เพื่อให้บริษัทสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญา หรือดำเนินการอันเป็นความจำเป็นต่อการเข้าทำสัญญากับบริษัท เช่น การจ้างงาน จ้างทำของ การทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือหรือสัญญาในรูปแบบอื่น เป็นต้น

หากท่านปฏิเสธไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลหรือ คัดค้านการดำเนินการประมวลผลตามวัตถุประสงค์ของกิจกรรม อาจมีผลทำให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการหรือให้บริการตามที่ท่านร้องขอได้ทั้งหมดหรือบางส่วน
ความจำเป็นเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย (Legal Obligation)

เพื่อให้บริษัทสามารถปฏิบัติตามกฎหมายที่ควบคุม เช่น กฎหมายแรงงาน รวมถึง การดำเนินการตามคำสั่งศาล เป็นต้น

ความจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย (Legitimate Interest)

เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท และของบุคคลอื่น ซึ่งประโยชน์ดังกล่าวมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานในข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เช่น เพื่อการรักษาความปลอดภัยอาคารสถานที่ของ บริษัท หรือการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อกิจการภายในของ บริษัท เป็นต้น

ความยินยอม (Consent)

เพื่อการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีที่บริษัทจำเป็นต้องได้รับความยินยอม

3. การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทจะทำการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลโดยมี วัตถุประสงค์ ขอบเขต และใช้วิธีการที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม ทั้งในการเก็บข้อมูลจากท่านโดยตรงหรือเก็บข้อมูลจากแหล่งอื่นที่ดำเนินการประมวลผลตามคำสั่งของบริษัท โดยในการเก็บรวบรวมนั้น จะทำเพียงเท่าที่จำเป็นแก่การดำเนินงานภายใต้วัตถุประสงค์ของบริษัทเท่านั้น ทั้งนี้บริษัทจะดำเนินการให้เจ้าของข้อมูล รับรู้ ให้ความยินยอมตามแบบวิธีการของบริษัท กรณีที่บริษัทจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวของเจ้าของข้อมูล บริษัทจะขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลโดยชัดแจ้งตามแบบวิธีการของบริษัทก่อนทำการเก็บรวบรวม เว้นแต่การเก็บข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวจะเข้าข้อยกเว้นตามที่ตามพระราชบัญญัติข้อมูลส่วนบุคคล หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง

4. วัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม หรือใช้ ข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทจะทำการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล เพื่อประโยชน์ในการดำเนินงานของบริษัท หรือตามวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล หรือเพื่อปรับปรุงคุณภาพการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และ/หรือ เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อการดำเนินงานของบริษัท

ทั้งนี้ บริษัทจะไม่กระทำการใด ๆ แตกต่างจากที่ระบุในวัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวมข้อมูล เว้นแต่บริษัทได้ดำเนินการแจ้งวัตถุประสงค์ใหม่ให้แก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบ และได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล หรือ เป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลส่วนบุคคล หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง

5. ประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวม

บริษัทอาจเก็บรวบรวมหรือได้มาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคล ตามความจำเป็น ได้แก่

  1. ข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงข้อมูลผู้ถึงแก่กรรมโดยเฉพาะ
  2. ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว หมายถึง ข้อมูลที่เป็นเรื่องส่วนบุคคลโดยแท้ของบุคคล ซึ่งมีความละเอียดอ่อนและอาจมีความสุ่มเสี่ยงในการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เช่น เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ความเชื่อในลัทธิ ศาสนา หรือปรัชญา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ ความพิการ ข้อมูลสหภาพแรงงาน ข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลชีวภาพ หรือข้อมูลอื่นใด ซึ่งกระทบต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น

6. ระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน

บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ในระยะเวลาเท่าที่ข้อมูลนั้นยังมีความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเท่านั้น ตามรายละเอียดที่ได้กำหนดไว้ในนโยบายหรือแนวปฏิบัติของบริษัท หรือตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ เมื่อพ้นระยะเวลาและข้อมูลส่วนบุคคลของท่านสิ้นความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวแล้ว บริษัทจะทำการลบ ทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไม่สามารถระบุตัวตนได้ต่อไป ตามรูปแบบและมาตรฐานการลบทำลายข้อมูลส่วนบุคคล ที่บริษัทกำหนด หรือกฎหมายจะได้ประกาศกำหนดหรือตามมาตรฐานสากล อย่างไรก็ดี ในกรณีที่มีข้อพิพาท การใช้สิทธิหรือคดีความอันเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน บริษัท ขอสงวนสิทธิในการเก็บรักษาข้อมูลนั้นต่อไปจนกว่าข้อพิพาทนั้นจะได้มีคำสั่งหรือคำพิพากษาถึงที่สุด

7. การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของบริษัท และการให้บริการแก่เจ้าของข้อมูล บริษัทอาจมีความจำเป็น  ในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลให้แก่บริษัทในเครือ บุคคลหรือนิติบุคคลอื่นทั้งในและต่างประเทศ โดย ในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว บริษัทจะดำเนินการให้บุคคลหรือนิติบุคคลเหล่านั้น ใช้และเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลไว้เป็นความลับ และไม่นำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากขอบเขตที่บริษัทได้กำหนดไว้

นอกจากนี้ บริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล ภายใต้หลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด เช่น การเปิดเผยข้อมูลต่อหน่วยงานราชการ หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล รวมถึงในกรณีที่มีการร้องขอให้เปิดเผยข้อมูลโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย

8. แนวทางในการดำเนินการคุ้มครองและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทจะจัดให้มีมาตรการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่สอดคล้องกับกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และแนวปฏิบัติด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ในการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบเอกสาร หรือในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือรูปแบบอื่น รวมถึงสนับสนุนและส่งเสริมให้พนักงานมีความรู้และตระหนักถึงหน้าที่ความรับผิดชอบในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยพนักงานของบริษัทต้องปฏิบัติตามนโยบายและแนวปฏิบัติการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามที่บริษัทกำหนดไว้

นอกจากนี้ เมื่อบริษัทมีการส่ง โอน หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลแก่บุคคลที่สาม ไม่ว่าเพื่อการให้บริการตาม  พันธกิจ ตามสัญญา หรือข้อตกลงในรูปแบบอื่น บริษัทจะกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสมและเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อยืนยันว่าข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทส่ง โอน หรือเปิดเผยมีความมั่นคงปลอดภัย

9. การส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังต่างประเทศ

บริษัทจะส่ง หรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังต่างประเทศ เพื่อดำเนินการประมวลผลตามธุรกรรมที่ได้เข้าทำสัญญาไว้ โดยบริษัทจะดำเนินการตามหลักเกณฑ์การให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ส่งหรือโอนไปยังต่างประเทศที่คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทยประกาศกำหนด เว้นแต่กรณีดังต่อไปนี้

  1. เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนดให้บริษัทจำเป็นต้องส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปต่างประเทศ
  2. ในกรณีที่บริษัทจะต้องส่งข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปต่างประเทศซึ่งมีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่เพียงพอ (ทั้งนี้เป็นไปตามรายชื่อประเทศที่คณะกรรมการคุ้มครองส่วนบุคคลของประเทศไทยประกาศกำหนด) บริษัทจะแจ้งให้ท่านทราบและขอความยินยอมจากท่าน

10. สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลสามารถใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ดังต่อไปนี้

  1. สิทธิในการได้รับการแจ้งให้ทราบถึงรายละเอียดในการเก็บรวบรวม ระยะเวลาในการเก็บ การนำไปใช้ หรือการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล ให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบ
  2. สิทธิในการเพิกถอนความยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้ให้ความยินยอมไว้ โดยบริษัทจะแจ้งต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลให้ทราบถึงผลกระทบจากการเพิกถอนความยินยอมดังกล่าวนั้น ทั้งนี้ การเพิกถอนความยินยอมย่อมไม่ส่งผลกระทบต่อการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้ให้ความยินยอมไว้แล้ว
  3. สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและขอทำสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตน รวมถึงการขอให้เปิดเผยการได้มาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่ได้ให้ความยินยอม
  4. สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อดำเนินการให้ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด
  5. สิทธิในการลบ หรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคล หรือทำให้ข้อมูลนั้นไม่สามารถระบุตัวตนของผู้เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลนั้นได้
  6. สิทธิในการระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
  7. สิทธิในการให้โอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล
  8. สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
  9. สิทธิในการยื่นข้อร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลสามารถขอใช้สิทธิดังกล่าวข้างต้นได้ โดยยื่นคำร้องขอใช้สิทธิต่อบริษัทผ่านช่องทางการติดต่อที่บริษัทกำหนด ทั้งนี้ บริษัทอาจปฏิเสธสิทธิของเจ้าของข้อมูลได้ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดไว้

11. การทบทวนและเปลี่ยนแปลงประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว

บริษัทอาจทำการปรับปรุง หรือแก้ไขประกาศนี้อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานของบริษัท เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดตามกฎหมาย ขอแนะนำให้ท่านโปรดตรวจสอบเพื่อรับทราบประกาศฉบับใหม่อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะก่อนที่ท่านจะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลแก่บริษัท

โดยในการทำธุรกรรมภายใต้กิจกรรมการประมวลผลนี้ของท่าน ถือเป็นการรับทราบข้อตกลงตามประกาศฉบับนี้ ทั้งนี้ หากท่านไม่เห็นด้วยกับประกาศฉบับนี้ โปรดระงับการทำธุรกรรมและแจ้งให้บริษัททราบตามช่องทางที่บริษัทกำหนด

หากท่านยังคงทำธุรกรรมต่อไปภายหลังจากที่ประกาศนี้มีการประกาศในเว็บไซต์ของบริษัทแล้ว จะถือว่าท่านได้รับทราบการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแล้ว

12. ช่องทางการติดต่อบริษัท

แจ้งประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประกาศฉบับนี้

บริษัท วีอาร์ดิจิตอล จำกัด

154 ซอยสุขสันต์ ถนนสุรวงศ์ แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500

โทรศัพท์: 66 (0) 2267-6388

อีเมล vr_pdpa@vr-3d.com

ทั้งนี้ ให้ประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวนี้ มีผลบังคับใช้วันที่ 1 มิถุนายน 2565

 

VR Digital Co.,Ltd.
Privacy Notice V 1.0  May 1, 2022

Copyright 2022

error: Content is protected !!